บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

เมื่อไร่นาสวนผสม( พอร์ทการลงทุน)ของคุณมีแต่สระน้ำ(หุ้นปันผล) คุณจะได้อะไรบ้าง

ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึงจุดตายของการลงทุนในหุ้นแบบไร่นาสวนผสม

ต่อไปบล็อกการลงทุนของผมจะเริ่มเข้าสู่ในรายละเอียดมากขึ้น

ทุกๆการทำไร่นาสวนผสม มักมีจุดเริ่มต้นที่การขุดสระน้ำ

การลงทุนในหุ้นก็เช่นเดียวกัน ให้คุณเริ่มที่ลงทุนในหุ้นปันผลก่อนหรืออาจหมายรวมถึง การลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ปลอดภัยและให้ปันผลที่ดีด้วยก็ได้


สมมุติเรามีทุนสำหรับหุ้นปันผลอยู่ 300,000 บาท
ดังนั้นจึงลงทุนซื้อหุ้น A (สมมุตินะ สมมุติ)

สมมุติหุ้นตัวนี้ราคา 10 บาท ณ ก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ราวๆเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม
จะซื้อทีเดียวหรือทะยอยซื้อก็แล้วแต่  ได้มา 30,000 หุ้น

จากสถิติหลายปีที่ผ่านมา ปันผลปีละ 2 ครั้ง

ครั้งแรกสมมุติปันผล 25 สตางค์ (เรียกอีกอย่างว่า 1สลึง ไม่รู้เด็กรุ่นหลังจะรู้ป่าว )
ครั้งที่ 2 เป็นปันผลของครึ่งปีหลัง อีก 26.30 สตางค์

ดังนั้นเราจะได้เงินปันผล ครึ่งปีแรก=0.25*30,000 = 7,500 บาท
(ได้ราวๆเดือน สิงหา-กันยา)

เราเอาเงินที่ได้มา วนมาลงทุนอีก
สมมุติราคาซื้อหลัง XD เฉลี่ยในครึ่งปีหลังประมาณ 10.50 บาท
เราซื้อได้อีก =7500/10.50 = 714 หุ้น  (เศษหุ้นก็ซื้อขายได้ครับในกระดาน Odd Lot)
เราจะมีหุ้นสำหรับปันผลปีหลังรวม = 30,714 หุ้น

พอเข้าสู่ช่วง กุมภา-มีนา ของอีกปี ก่อน XD สมมุติปันผลอีก 26.30 สตางค์ (0.263 บาท)
ดังนั้นในช่วง เมษา-พฤษภาคม
เราจะได้ปันผลครึ่งปีหลัง = 0.263*30,714 = 8,063 บาท

ทั้งปีเราจะได้รวมกัน = 7,500+8,063 = 15,563 บาท
คิดเป็นผลตอบแทนต่อทุนต่อปีร้อยละ  = 15,563*100/300,000 = 5.18 % ไม่เลวเลยไช่ไหมครับ

มองมาอีกปี เราเอาเงินปันผลรอบครึ่งปีหลัง 8,063 มาลงทุนต่อ
สมมุติราคาหุ้นที่ 11.03 รวมค่าธรรมเนียมแล้วก็คงได้อีกประมาณ 731 หุ้น

ดังนั้นในปีต่อไปของปันผล ถ้ายังคงปันผลในอัตราเพิ่มขึ้นทีละ 5% ก็ประมาณ  0.276 บาท/หุ้น
เรามีหุ้นรวมตอนนั้น ก็ = 30,714+731 =31,446 หุ้น
ดังนั้น เราจะมีเงินปันผลมาเติมพอร์ทอีก = 0.276*31,446 =  8,667 บาท

เอาไปซื้อหุ้นได้อีกประมาณ 749 หุ้น
รวมเป็นหุ้นที่คุณมี = 31,446+749 = 32,194 หุ้น
ต่อไปปันผลอีกประมาณ 0.289 บาท ก็ = 0.289*32,194 = 9,317 บาท

ทั้งปีที่2 ก็ =8,667+9,317 =  17,984 บาท 


ต่อไป ก็ Dajawoo  ทำวนไป ๆ

ทำอย่างนี้เรื่อยๆทุกรอบการปันผลจะเป็นอย่างไร 

ลองดูผลตอบแทน 9 ปี  ผมทำตาราง Excel มาให้ดูชม ดังนี้



โอ้วแม่เจ้า !!!
สังเกตไหมครับว่า มันเพิ่มขึ้นแบบมากขึ้นๆในทุกปี ทั้งปันผลและมูลค่าพอร์ท
(ในสมมุติฐานราคากับปันผลเพิ่มทีละ 5% ทุกๆครึ่งปี)

เงินปันผลมันผ่านมือคุณมาเกือบๆเท่าทุน3แสน ที่ 267,580 บาท
และหากดูที่ราคาหุ้นที่มันขึ้นที่ละกระดึบๆ 5% ทั้งราคาและปันผล


มูลค่าพอร์ทการลงทุนของคุณมันพอกพูนมาเป็น 1 ล้านบาท

ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี เงินคุณมันเพิ่มมา 3 กว่าเท่าตัว





มันไม่ไกลเกินจริงหรอกครับ เพราะแค่คุณหาหุ้นที่มีปันผลได้ต่อปีแค่ 5% กว่าแล้วถือยาว

เอาเงินปันผลที่ได้มาน่ะ ลงทุนเพิ่มไปเข้าไปอีก ทุกรอบปันผลแค่นั้น

ปล่อยให้เงินทำงานของมันไป

ผลตอบแทน ผมบอกเลยดีกว่าประกันประเภทเวลา 10 ปีกว่าแยะเลย

แล้วคิดดูครับว่าที่มากกว่า 5% กับเงินลงทุนที่มากกว่า 3 แสน จะเป็นอย่างไร

นอกจากทุนเงินที่จำเป็นแล้ว ทุนทางใจต้องการคือ

อึด ทน นาน  (เฮอๆ แม่งๆ 55+)


สำคัญที่ "รอเป็น"  และ "ใจเย็น"  ซื้อในราคาที่ต่ำๆ คุณจะได้ผลตอบแทนที่....สุโค่ย.... เลยใช่ไหมคร้าาาาบ


ปล.รูปแรก

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

จุดอันตราย (ตาย) ของการลงทุนแบบไร่นาสวนผสม

สรรพสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

คำพระศาสดาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เป็นจริงเสมอครับ
ไม่เว้นแม้แต่หลักการลงทุนแบบไร่นาสวนผสม

หลักการลงทุนในโลกนี้ ไม่มีหลักการไหนที่อยู่ยงคงกระพันไปทุกเวลาครับ
มันฝืนกฎจักรวาล หลักการลงทุนที่ผมเผยแพร่นี้ก็เช่นกัน
มีจุดอ่อน จุดแข็ง ในตัวตนเหมือนๆ กับทุกหลักการลงทุนอื่นๆ

ไม่แม้แต่หลักการลงทุนของกูรูในโลกนี้ ที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางนั้น
ผู้คิดค้น ย่อมทราบดีครับว่า อะไรที่เป็นจุดอันตราย หรือ จุดตายของหลักการนั้น

มาดูกันว่าหลักการลงทุนแบบไร่นาสวนผสม มีจุดอ่อนตรงไหน


ทบทวนกันสักเล็กน้อยตามภาพนี้
เรามีพื้นที่เกษตรกรรม ที่แบ่งออกเป็นพืชสวน พืชไร่ สระน้ำ และ ที่อาศัยหรือใช้สอย
ถ้ามีคนถามชาวไร่ ชาวน่า ว่า ในการทำเการเกษตร อะไร สำคัญที่สุด

ผมว่าเกินครึ่งต้องตอบว่า น้ำ 

ผมก็จะบอกเหมือนกันว่า จุดอันตรายของหลักการลงทุนแบบไร่นาสวนผสม ก็อยู่ที่ น้ำเช่นกัน
หากเมื่อใดที่สระน้ำ(หุ้นปันผล) ของคุณแห้งขอด ยากที่จะใช้เลี้ยงดูส่วนอื่นๆ ได้


ดินที่แห้งแล้งเพียงไหน หากได้น้ำเป็นตัวนำการผลิกฟื้น มันง่ายที่จะทำให้พื้นที่เกษตรอุดมสมบูรณ์ได้เท่านั้น  


การลงทุนในหุ้นแบบไร่นาสวนผสม หากคุณปล่อยปละละเลย ให้สระน้ำของคุณแห้งแล้ง
ก็หมดหวังที่จะได้ผลการลงทุนที่ดีในระยะยาว

คุณไม่มีเงินไปเติมในพอร์ท
หรือไปใช้ในการแก้พอร์ท
คุณไม่มีเงินที่ได้จากการปันผลไปใช้เป็นกระแสเงินสดในพอร์ท
หรือไม่มีแม้จะใช้จ่ายในชีวิตจริง
แล้วละก็ ผมว่านี่คือ จุดอันตราย หรือ จุดตาย ของหลักการนี้อย่างแท้จริง


แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะยังไง คุณก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตการลงทุนมันมีขึ้นมีลง
ป้องกันการสูญเสียจากการลงทุนของคุณให้ดี
อย่าให้ปล่อยสระน้ำ(หุ้นปันผล) ของคุณแล้งน้ำ ให้สงวนจุดอันตรายไว้อย่าให้ไม่เหลือน้ำไว้ใช้


คุณอาจจะต้องลงทุนขุดสระน้ำที่แหล่งอื่น (หาหุ้นปันผลตัวอื่น) ที่จะสามารถุเก็บกับน้ำไว้ได้

หรือถ้าคุณมั่นใจว่าสระน้ำ(หุ้นปันผล) ที่คุณยังดีอยู่ ยังมีตาน้ำที่สามารถปล่อยน้ำให้ใช้สอยอยู่ หรือแค่มันแล้งแค่ ปีสองปี นี้ คุณรอได้ไหม

ถ้าไม่ได้ ขุดเพิ่ม (ถัวหุ้นปันผล) ดีหรือไม่ ผมว่าคุณย่อมรู้จักสระน้ำ(หุ้น) ของคุณดีพอ

อย่าปล่อยทิ้งไว้เดียวดายครับ เพราะมันจะทำให้ไร่นาสวนผสมของคุณทั้งหมดตายไปจริงๆ


ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ   :-)





credit ภาพ : google search





วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

Timeline การลงทุนแบบไร่นาสวนผสม

สวัสดีแฟนเพจทุกท่านครับ นานๆว่างๆมาเขียนที
หลังจากที่เราได้เรียนรู้หลักการลงทุนแบบไร่นาสวนผสม พอจะรู้ว่า อะไร คือ What อะไร คือ Why ของโมเดลการลงทุนนี้

ถ้าลองกลับไปอ่านย้อนหลังดู ท่านคงพอจะทราบว่า การลงทุนในหุ้น โดยใช้หลักการแบบการทำไร่นาสวนผสม หุ้นกลุ่มไหน เปรียบได้กับพืชกลุ่มอะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้างของสวน ที่ต้องมี เช่น สระน้ำ ที่อยู่อาศัย ฯลฯ

ที่นี้คงเกิดคำถามว่า ถ้าเกิดเรารู้หลักการอย่างนี้แล้ว เอามาใช้เลยได้ไหม ผมขอตอบว่า ได้

แต่ ๆ จะดีกว่าไหม ถ้าเราลงทุน ถูกที่ ถูกเวลา ปลูกผักหน้าแล้ง มีแต่จะ “เจ็ง” กับ “เจ๊า”.

การปลูกพืชไร่พืชสวนของเกษตรกร นั้น เขาจะไม่ฝืนธรรมชาติ สภาพแวดล้อม สภาพอากาศมีความสำคัญเอามากๆ

สำหรับในตลาดหุ้น บรรยากาศการลงทุน (หรือแม้แต่ บรรยากาศในการเก็งกำไรด้วย 55+) สภาพแวดล้อมต่างๆ อากาศในการทำการเกษตร ก็เปรียบได้กับ สภาวะแวดล้อมในตลาดหุ้น ด้วย

แน่นอนว่า ยามแล้ง พืชที่ใช้น้ำมากเช่น นาข้าว ปลูกแล้วอาจได้เห็นแต่ต้นข้าวแต่รวงไม่มี 55+ (ช่วงนี้ Thailand ทำท่าจะแล้งอีกแล้ว ประหยัดน้ำกันนะครับ)

ยามแล้ง ชาวสวนเขาทำไร ยามหน้าน้ำเขาทำไร มาดูหลักการใหญ่ๆ ครับ


--- ยามหน้าแล้ง ให้งดเว้นการเพาะปลูกพืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น แต่ให้ไปบริหารจัดการสวน โดยการขุดสระน้ำ (ลงทุนในหุ้นปันผล) หรือว่า จัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย/ส่วนอำนวยความสะดวกในการดูแลไร่นาสวนผสม ( จัดการเงินสด) หากได้เงินปันผลจากหุ้นก็สะสมไว้ หรือ จะเอาไปหมุนเพื่อทวีทุน ก็ได้ เพื่อรอเวลาที่ฤดูกาลเพาะปลูกมาถึง


---ยามฤดูเพาะปลูก ให้ ลงมือเพาะปลูกไม้ยืนต้นก่อนหน้าฝนจะมาเล็กน้อย (ลงทุนในหุ้นเติบโต) หรือจะพร้อมๆกับที่ฝนมาก็ได้ สวนพืชไร่ ก็ ให้ลงหลังจากฝนหนักๆ “ห่า” แรกลงมาก่อน (ลงหุ้นเก็งกำไร) สิ่งสำคัญคือ เมล็ดพันธ์ที่ลงไปนี้ ต้อง เชื้อแรง มีพลังแห่งการเติบโตภายใน (หุ้นดี)

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นการปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น หรือ พืชไร่ ก็ต้องอาศัยน้ำฟ้าน้ำฝน (Fund Flow) ทั้งนั้น ฝนตกน่ะ เรารู้จัก แต่หลายคนในตลาดหุ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า FundFlow เป็นอย่างไร


ลักษณะของ FundFlow หรือ ภาวะที่ตลาดหุ้นมีเงินไหลเขามาลงทุนหรือเก็งกำไร มากกกว่าปกติ จากเม็ดเงินภายนอกประเทศ หรือ ในประเทศ ก็ได้ สังเกตดังนี้ ครับ
1. มีการซื้อสุทธิมากกว่า 2,000 ล้านบาท/วัน ขึ้นไปติดต่อกันเป็นสัปดาห์ (ข้อมูลในอดีตครับ จำเขามา แต่ปัจจุปันอาจจะต้องมากกว่า 3,000 ล้านบาท/วัน แล้วก็ได้ )
2. ดัชนีภูมิภาคเดียวกันกับบ้านเรา ปรับขึ้นเหมือนๆกัน ประมาณ 1-2% ติดต่อกันหลายวัน
3. ค่าเงินบาทไทย เริ่มมีการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. หุ้นใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าสูงๆ หรืออยู่ใน set50 มีการปรับขึ้นพร้อมๆกับ ปริมาณการซื้อขาย
( ศึกษา Fundflow ได้จากกูรูท่านอื่นครับ ส่วนผมแค่ กูรู้ 55+ )
เมื่อทราบดังนี้แล้ว คงมั่นใจได้ครับว่า พอจะถูกที่ถูกเวลา กันบ้างแล้ว
เพื่อให้เห็นภาพชัดขอมอบแผนภาพลำดับเวลา ที่ผมทำขึ้นเอง ให้แฟนเพจ-แฟนบล็อกครับ

What Why Who(ก็คุณนั้นแหละ) When ก็รู้แล้ว ครั้งหน้าพบกับ How to กันนะครับ
เจอกันเมื่อชาติต้องการครับ 55+

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เงินสด

มาถึงอันสุดท้ายหลังจากที่ได้ทิ้งท้ายไว้ ร้อยละ 10 ของการลงทุน
สำคัญสุดๆ อย่างไร

ทบทวนกันอีกที ถ้าเปรียบเป็นไร่นาสวนผสมนี่ ก็คือ พื้นที่ส่วนที่อยู่อาศัยใช้สอยหรือบริหารพื้นที่ไร่นาสวนผสม
แต่สำหรับการลงทุน หมายถึง เงินสดหรือสิ่งที่มีสภาพคล่องสูง

สำคัญอย่างไร ?

เงินสด  สามารถใช้จ่ายได้ทันที ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจใดๆ เงินสดคือพระเจ้า  ในยามที่คนอื่นเขาไม่มีเงินหรือมี แต่มีไม่พอจะทำอะไรได้  แต่เรามีเงิน  คนที่ถือเงินไว้ในมือ ย่อมจะสามารถทำอะไรก็ได้ เรียกได้ว่าอำนาจอยู่ที่ตัวเราเลยก็ว่าได้

ในตลาดหุ้นมักจะมีวิกฤตเสมอ นักเก็งกำไรส่วนมากมักจะติดหุ้นที่ราคาสูงๆ เนื่องด้วยราคาหุ้นทั้งตลาดลดต่ำลงมากๆ
หากคุณมีเงินสด นั้นหมายถึงอำนาจในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต้นทุนที่ต่ำมาถึงแล้ว คุณมีโอกาสในขณะที่คนอื่นไม่มีเท่าคุณที่มีเงินสด ในภาวะตลาดตกต่ำ คุณยังสามารถเอาเงินสดไปหมุนการลงทุนอื่นๆ ได้ด้วย

นี่คือความสำคัญของเงินสดหลักๆของการลงทุนในตลาดหุ้น

เงินสดที่มีอยู่ในพอร์ทหุ้น หากคุณไม่ได้ทำอะไร โบรคเกอร์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายแทนคุณ ก็ยังมีดอกเบี้ยให้อีกด้วย
คล้ายๆกับว่า เงินสดเป็น หุ้นตัวหนึ่งของคุณ

อีกทางหนึ่ง เงินสด สามารถเอาไว้ใช้จ่ายเลี้ยงดู ตัวเราและครอบครัว ได้  สำคัญ ตรงที่เป็นสามารถกลายสภาพเป็นได้ทั้งเงินลงทุน และการใช้จ่าย  หากคุณจำเป็นต้องใช้เงิน คุณก็สามารถนำออกมาใช้ได้ ภายใน 1-2 วัน แค่คุณสั่งถอนเงินออกมาแค่นั้น

สรุป เงินสดทำให้คุณ มีโอกาส มีอำนาจ มีความสะดวกสบาย แม้แต่โลกภายนอกตลาดหุ้น

บางคนบอก เงินสด คือ พระเจ้า  (55+ เวอร์ไป )




วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

พืชไร่ คือ หุ้นเก็งกำไร


พืชไร่  คือ หุ้นเก็งกำไร

พืชกลุ่มนี้ใช้ระยะเวลาปลูก ตั้งแต่ 1 เดือน จนถึง 1 ปี ช่วงที่ดีที่สุดในการเพาะปลูก คือ ช่วงหน้าฝน  ในเรื่องหุ้นก็คือ ช่วงที่มี fund Flow  เข้ามา   เจอฝนตกห่าใหญ่ๆแบบ เป็นอาทิตย์ๆ นั้นแหละครับ  พร้อมปลูกพืชไร่ได้  กลุ่มพืชที่เหมาะสม ก็จะเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม set50 กองทุนหรือต่างชาตินิยม ซื้อกัน  ครับ

ฤดูกาลนี้ เป็นช่วงสนุกสนานของเทรดเดอร์ (นักเก็งกำไร) หลับตาซื้อตัวไหนก็ได้  ไม่นานก็ขึ้น  ซื้อขายจบในวันก็มีเยอะ (เดย์เทรด)   การซื้อๆขายๆ ดูเหมือนจะร่ำรวยๆ ใช่ไหมครับ แต่ความยากของมันคือ ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะขึ้นทุกวัน บางตัวก็วิ่ง  แต่บางตัวกลับนิ่งเฉยซะงั้น   แต่ก็พอจะเล่นได้ถ้ารู้จักอดทนรอ  ที่สำคัญต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัวด้วย เหมือนเดิมครับ เลือกเอาใน set50 เป็นพอ     
วิธีการเล่นแบบนี้ผมไม่แนะนำครับ อุปมาเหมือนเป็นพ่อค้าคนกลางหรือพ่อค้าส่ง ซื้อมาแล้วไปขายต่อให้แม่ค้าในตลาดอีกที   ซื้อขายเป็นทอดๆ ไป   กำไร น้อยนะครับ ถ้าไม่รู้แหล่ง ไม่รู้ตลาดที่จะรับซื้อราคาดี  และเวลาขายที่เหมาะสมอีก ยากครับจะได้กำไรดีๆ   แถมยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะอีกด้วย  เช่น ค่าน้ำมันรถ ค่าสึกหรอ จิปาทะ  ถ้าเป็นในหุ้นนี้ก็คือ ค่าเสียเวลา ค่าทุ่มเทแรงกายมาอ่านข่าวเช้า-กลางวัน-เย็น  ต้องคอยติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายอยู่บ่อยๆๆ  ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนมีงานประจำทำ ครับ

ในหลักการลงทุนในหุ้นแบบไร่นาสวนผสม  ผมว่าช่วง Fund Flow นี้ เล่นง่ายที่สุดแล้ว แต่เราต้องมีวิธีคิดที่ถูกต้องด้วย  คือ  แทนที่เราจะเป็นพ่อค้าแบบซื้อมาขายไป    ทำไมเราไม่เป็นคนปลูก แล้วไปขายที่ตลาดเสียเองละครับ  ปลูกเป็นรุ่นๆไป และก็ขายเป็นรุ่นๆไป  ขายได้ราคาดี และเลือกช่วงที่ขายได้ราคาดีอีกด้วย  เช่น ช่วงเทศกาลวันปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ขายได้ราคาดีและก็มีคนซื้อมาเยอะเสียด้วย

 สำหรับวิธีการเก็งกำไรในหุ้น ก็ใช้หลักการเดียวกัน ครับ  การซื้อหุ้น ก็คือ  การที่เรา เพาะปลูกพืชเอง  รอมันโตตามระยะเวลา 1 เดือน  3 เดือน  6 เดือน หรือแม้แต่ 1 ปี  แล้วเลือกขายช่วงเทศกาลหุ้น  ถ้าตลาดหุ้นมีแต่ข่าวดี อะไรก็ดีไปหมด   นั้นแหละครับช่วงเทศบาลตลาดหุ้น  ขายเลยครับ  รับรองขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน  เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ พืชไร่ ที่มีอายุสั้น  เช่น  ผักต่างๆ ข้าวนาปี  จนถึงพืชที่มีช่วงเพาะปลูก ไม่เกิน 6 เดือน ครับ

 เลือกเอาครับ จะปลูกพืช( หุ้น) อะไร แล้วแต่จะคาดการณ์ เอาว่า  อีก 1  เดือนข้างหน้าหลังฝนแรก  อะไรจะโตทันและขายได้ราคาดี   อีก 3 เดือน อะไรจะขายได้ราคาแพง   ส่วนระยะ  6 เดือนขึ้นไป  พืชที่อยู่ได้หลังหมดช่วงฤดูกาลฝนปกติ  ก็คือ  พืชไร่ที่มีอายุยาว  ซึ่งต้องมีปัจจัยความแข็งแรงของต้นพืชช่วยด้วย   ในหุ้นก็คือ ต้องมีปัจจัยเฉพาะหุ้นนั้นๆ เช่น  ผลประกอบการ หรือ Story ที่เกี่ยวข้องด้วย   อันนี้ก็แล้วแต่ความสามารถในการมองตลาดออกละครับ  ดูเป็นตัวๆกันไป และก็ต้องอาศัยประสบการณ์มากๆ ด้วย เช่นกัน
  
 เริ่มจากพืช(หุ้น) ที่เราเคยปลูกหรือรู้จักมันดีหรือเหมาะกับตัวเราว่าเราดูแลได้ดีแค่ไหน ใน 1-3-6 เดือน  อย่าลืมหลักการนะครับ ลงทุนในกลุ่มนี้ 30 และไม่ควรปลูก(ซื้อ) ในช่วงที่ไม่ใช่ Fund Flow  เหมือนคุณปลูกผักหน้าแล้งนะครับ เป็นหุ้นก็คือ ช่วงตลาดขาลง  โอกาสเจ๊ง มีมากกว่า โอกาสรอด  ถ้าไม่เจ๋งจริง อย่าเลยครับ ให้เซียนเทรดเดอร์เขาซื้อมาขายไปเถอะ
ตอนต่อไป จะพูดถึงอีก 10% ที่เหลือ  ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้ว สำคัญสุดๆครับผม

สรุปนิยามที่เกี่ยวข้องในบทนี้

ช่วงหน้าฝน            =             ช่วงที่มีเงินทุนต่างชาติ เข้ามาซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก  (Fund Flow)
หน้าแล้ง                 =             ตลาดขาลง เพราะ Fund Flow ไหลออก
พืชไร่อายุสั้น          =             หุ้นเก็งกำไร 1 เดือน จนถึง 6 เดือน
พืชไร่อายุยาว        =             หุ้นเก็งกำไรตั้งแต่ 6  เดือน ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 ปี หรือจนกว่า Fundflow จะหมด
พ่อค้าคนกลาง      =             เทรดเดอร์รายวัน รายสัปดาห์
คนปลูกผัก             =             เทรดเดอร์ตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป











วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

พืชสวน คือ หุ้นเติบโต-หุ้นวัฏจักรยาวๆ

หลังจากที่เราได้ลงทุนขุดสระน้ำ ขึ้นมาแล้ว ทีนี้เรามาถลกแขนเสื้อ ปลูกพืชลงในไร่นาสวนผสม ของเรา เอง ครับ ลุยกันเลย 

พืชสวน มีได้ 2 ประเภทหลักๆ  คือ พืชยืนต้นที่เราเอาต้นไปใช้ประโยชน์ กับ พืชยืนต้นไม้ผล ที่เราเอาผลไปขาย โดยเฉพาะที่คนนิยมกินกัน

พืชสวนเอาต้น  ก็เช่น ต้นไม้สัก ไม้กฤษณา(ไม้หอม)  เป็นต้น ลงทุนปลูกยาวหลายปีเลย ยิ่งนานยิ่งมีราคา มองยาวๆ ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ต้องดูแลรักษาให้น้ำ ให้ปุ๋ย กันพอสมควรในระยะแรกๆ  แต่หลังจากนั้น ไม่จำเป็นต้องดูแลตลอด ดูทุก 3 เดือน ยังได้ครับ ตัดหญ้าบ้างตามสมควร ดูโรคที่อาจกัดกินต้นจนอาจทำให้ตายได้บ้าง แต่ถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็ถอนทิ้งแล้วปลูกใหม่ดีกว่า   ส่วนต้นที่ดีๆอย่าตัดเด็ดขาดครับ ปล่อยให้มันโตวัน โตคืน ยิ่งนาน ยิ่งมีมูลค่าครับ อีก 20 ปี 30 ปี เป็นเศรษฐีแบบไม่รู้ตัวเลย ครับ



สวนอีกกลุ่ม ก็คือ พืชเอาผล มอง 5 ปี ขึ้นไป ปลูกเอาผล จนกว่าจะถึงจะใกล้หมดอายุขัยของมันครับ ตัวอย่างก็เช่น ต้นส้ม ต้นทุเรียน(ราคาแพงดี) จนเมื่อใกล้จะหมดอายุที่ให้ผลเต็มที่แล้ว ก็ให้ทะยอยปลูกทดแทนต้นเดิมไปครับ ก็เอาผลกำไรที่ได้จากการที่ขายผลไม้นี้แหละครับ ปลูกทดแทนกันไป เป็นรุ่นๆ ปกติแล้วก็ 10-15-20 ปี ครับ แล้วแต่ชนิดนั้นๆ แต่ที่ำสำคัญ ต้องเป็นที่นิยมของตลาด ครับ



หรือถ้าใครจะมีไอเดีย ขายต้นกล้า ในช่วงฤดูแล้ง ก็ไม่เลวครับ เพาะ ต้นกล้า ขายซะเลย อย่างรูปนี้



แต่โดยหลักการแล้ว ผมว่า เอาต้นที่แข็งแรง ปลูกแล้วดูแลดี ระยะยาว ดีกว่าครับ


สรุปนิยามเปรียบเทียบ

พืชสวนเอาต้น(ไม้ยืนต้น) = หุ้นเติบโต

ไม้ผล = หุ้นเติบโตที่มีปันผลหรือหุ้นวัฎจักรนานๆหลายปี

การให้น้ำ ให้ปุ๋ย = การศึกษากิจการอย่างสม่ำเสมอ

โรคภัยต้นไม้ = ภัยคุกคามที่อาจทำให้กิจการพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป

การถอนทิ้ง แล้วปลูกใหม่ = การขายที่ราคาสูงแล้วมาซื้อกลับในราคาที่ต่ำลงทำให้ได้ จน.หุ้นเพิ่มขึ้น ( SAP)

ต้นไม้ที่ดี = หุ้นที่ราคาซื้อทุนต่ำและซื้อถูกจังหวะ

ผลไม้ที่ที่นิยมของตลาด = หุ้นเติบโตที่แจกหุ้นปันผลหรือหุ้นวัฎจักร และคนนิืยมซื้อขาย มีสภาพคล่อง

การปลูกทดแทน = การเล่นรอบ หุ้นวัฏจักร

การขายต้นกล้า = การเล่นรอบหุ้นเติบโต/วัฏจักร ที่เพิ่งซื้อมาไม่นานหรือมีทุนสูง



ขอสรุปหลักการคร่าวๆ ครับว่า

 ให้์ซื้อลงทุนหุ้นเติบโต หรือหุ้นวัฏจักรยาวๆ
 โดยมี แนวคิดแบบลงทุนปลูกไม้ผลยืนต้นทั้งเอาต้นหรือเอาผล 
 แค่นี้ วิธีการลงทุนของเรา การไม่ยากแล้ว ครับผม

(แต่ที่ยากคือ รอ 10-20-30 ปี ครับ ยากมาก ท่องไว้ครับ ทนรวย ทนรวย ทนรวย ๆๆๆๆ)



























วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สระน้ำ คือ หุ้นปันผล



ไร่นาสวนผสม ใด ไม่มีน้ำไว้รดต้นพืช ของเราไว้เลย ยากที่ต้นพืชของเราจะเจริญเติบโต คงต้องอาศัยฝนฟ้าอากาศในฤดูน้ำหลากอย่างเดียว (ฤดูที่ Fund Flow เข้ามาในตลาดหุ้นไทย) ปลูกพืีชอะไร(ซื้อหุ้นอะไร หลับตาซื้อก็ ขึ้นหมด)

แนวคิดของผมในทางหุ้น ก็ เช่นเดียว พอร์ทการลงทุน หากไม่มีหุ้นปันผล เอาไว้เลย ในยามที่น้ำแล้ง (ไม่มี Fund Flow)   จะกินกำไรจากส่วนต่าง ราคาหุ้นยากครับ

ผมให้เงินลงทุนในหุ้นปันผล 30% เหตุที่เป็นดังนี้ ผมว่าเป็นการถ่วงดุลระหว่าง การลงทุนให้หุ้นเก็งกำไร 30% เช่นกัน หากเราพลาดทำกำไรในหุ้นเก็งกำไร (ติดดอย) ก็ยังมีปันผลมาช่วยลดความเสียหายจาก ทุนจม เอาไว้ได้ 

ถ้าถามว่า ลงทุนซื้อหุ้นปันผลเมื่อไหร่ ก็คิดเหมือน การขุดสระน้ำ เลยครับ 
เกษตรกรจะรู้ดีครับ ว่าจะขุดสระต้องหน้าแล้ง (ช่วงไม่มี Fund Flow)
เพราะเราจะทราบได้ดีว่า ที่ลุ่มไหนจะเหมาะสมแก่การขุดสระ

คงไม่มีใครเขาขุดสระในที่ดอนใช่ไหมครับ  ง่ายๆครับ ขุดตรงที่ลุ่มที่สุดนี่แหละ

แต่บางท่านอาจมีความสามารถในการมองที่ดินออกชำนาญในการหาตำแหน่งขุดเจอตาน้ำ
ยิ่งเป็นโบนัสครับ รับรองได้น้ำ (จำนวนหุ้นปันผล) มากที่เดียว

แบบว่าขุดหน้าแล้ง ก็มีน้ำให้ใช้เลย อย่างในรูปข้่างล่างครับ



ขุดไว้รอหน้าฝนเลยครับ ไม่เกิน 9 เดือนน้ำเต็ม (Fundflow) หรือหน้าฝนตามฤดูกาล(ช่วงจ่ายปันผล) 
เราก็สามารถใช้สอยได้ (หุ้นบางตัวจ่ายทุก 3 เดือนก็มี)  

เราก็เอาเงินส่วนนี้ไปหาประโยชน์จากการลงทุนอื่นๆ หรือไปบำรุงพืชอื่นๆของเราได้ครับ 

หรือจะใช้สอย เช่น ปลูกพืชผักสวนครัวริมสระน้ำ หรือเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้หมดครับ
 อันนี้แล้ว Idea ของแต่ละท่าน


แต่ข้อสำคัญอย่าทำอะไรมากเกินตัวนะครับ อย่าลืม ศก.พอเพียง 
(พอประมาณ+มีเหตุผล+มีภูมิคุ้มกันในตัว บนเงื่อนไข ความรู้คู่คุณธรรม) ด้วยครับ 

ยกตัวอย่าง ปันผลจากเงินลงทุน 30 % ของทั้งหมด ถ้าปันผลสัก 10% ก็คิดเป็น 3% เองครับ อย่าเยอะ 

สรุปนิยามครับ

สระน้ำ = หุ้นปันผล

ปริมาณน้ำ = เงินปันผล

หน้าน้ำมา = Fund Flow

ฤดูฝน = ช่วงการจ่ายปันผล

พืชผักสวนครัว =  หุ้นยอดนิยม

สัตว์เลี้ยง = การลงทุนในรูปแบบอื่่นๆ

ตาน้ำ = เงินปันผลพิเศษ 

ที่ลุ่ม = กลุ่มหุ้นปันผลทั้งหลาย

ที่ดอน = กลุ่มหุ้นแบบอื่นๆ

คร่าวๆประมาณนี้ ครับ อยากให้ผู้อ่านมาแชร์ไอเดียกัน
ช่วยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ต่อยอดความคิด 

อยากให้เรียนรู้และเดินทางไปด้วยกัน
 ํ You will never alk alone /////